เป็นอะไรก็ได้ครับที่อยากเป็น
ผมว่าไม่ควรเอาเรื่องที่อยากเป็นกับเรื่องที่เรียนมาปนกันจนสับสนนะ...ยกเว้นเรื่องที่คุณเรียนอยู่มัน"บังเอิญ"เป็นเรื่องที่อยากเป็น
ที่ใช้คำว่าบังเอิญเพราะคนส่วนมากเข้าใจว่าต้องประกอบสัมมาอาชีพตามสาขาที่ร่ำเรียนมาในห้องเรียนบ้าง...มหาวิทยาลัยบ้าง...ทั้งที่ทั้งในชีวิตอาจเรียนรู้และสนใจอะไรตั้งมากมายนอกห้องเรียน
บางคนค้าขายกับพ่อแม่แต่ตีนเท่าเม็ดซูกัสจนรู้การบริหารงานร้าน การพูดจา การจัดวางของ การตรวจสอบบัญชี จนถึงรู้กลโกงของบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย
บางคนทำสวนทำไร่มาตั้งแต่ตีนเท่าเม็ดข้าวโพดจนรู้จักชนิดพันธุ์พืชหลากหลาย รู้วิธีเพาะให้เกิดผลผลิตสูง รู้แหล่งแห่งที่จำหน่าย จนถึงรู้กลยุทธจัดการกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์เช่นนี้
ฯลฯ
แล้วจะเรียนไปทำไมกันละครับ ? ถ้าเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ ? พระท่านก็สอนเท่าที่คุณจะใช้ ไม่จำเป็นก็ไม่สอน
ทุกๆ คนที่เลือกเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นมีวุฒิภาวะและรู้ว่าทางสายใดเหมาะกับเขา คุณอ่านมาหรือเปล่าว่าจุดประสงค์ของการศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นคืออะไร ?? (คิดว่าคุณคงยัง ไม่งั้นคงไม่มา่ตอบเช่นนี้กระมัง เพราะตัวอย่างที่คุณยกมานั้นวิทยาศาสตร์ก็ใช้ได้ทั้งนั้น อยู่ทีว่าคุณจะเอาไปทำอะไร ส่วนจะค้าขายแต่มาเ่ีรียนวิทยาศาสตร์นั้นผมว่ามันไม่ค่อยตรงเท่าไร แต่คณะวิทย์เราก็มีสอนวิธีทำการค้าให้นี่)
คุณเรียนมาเป็นวิชาเพื่อประกอบอาชีพ คุณใช้คำว่าบังเอิญ เพราะว่าคุณไม่รู้ว่าริงๆ แล้วต้องการจะทำอะไร คุณจะมาเสียเวล่ำเวลาไปทำไมกันชีวิตมนุษย์สั้นนักคุณก็รู้
...
น่าเสียดายที่ถ้าคนเหล่านี้มีความคิดหันไปทางเดียวกันหมดว่าเรียนวิทยาศาสตร์แล้วไปช่วยแม่ขายของหรือทำสวนเป็นเรื่องน่าละอาย
ผมแค่อยากบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าชอบทำอะไรก็ลืมตาออกไปดูและเผชิญโลกสังคมซะบ้าง
พอรู้แล้วก็ลุยเลย...สู้มันเลย...
เรียนจบแล้วอยากเป็นหมอก็ซิ่วแล้วเรียนใหม่ซะ
...
ไอ้การแสดงความคิดเห็นของคุณแบบนี้ก็แสดงออกมาแล้วว่าคุณไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เพราะรู้ว่า "ตัวเองจะเป็นอะไร" แต่คุณเรียนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไรเจ้าของกระทู้เขามีความตั้งใจที่จะเีรียนและสนใจในอนาคตของตัวเขาเองว่าจบไปแล้ววิชาที่เขารักชอบนั้นทำอะไรให้เขาได้บ้างแต่คุณกลับ
ตอบมาเช่นนี้ ผมผิดหวังมากๆที่คนตอบเป็นพี่ last